โรงพยาบาลสันป่าตอง ในปี 2550 พบสตรีที่มีผล Pap smear ผิดปกติจำนวนหนึ่งบอกว่า ในช่วง 1-3 ปีที่ผ่านมา เคยมีผลตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกผิดปกติ และได้รับการแจ้งจากสูติแพทย์ที่ตรวจวินิจฉัยว่า ผลจากการส่องกล้อง และตรวจชิ้นเนื้อไม่พบความผิดปกติ จากคำบอกเล่าดังกล่าว นำไปสู่การสืบค้นข้อมูลย้อนหลังจากเวชระเบียนในช่วงปี 2546-2549 พบผู้มีผลคัดกรองผิดปกติจำนวน 285 คน โดยพบผลตรวจวินิจฉัยเป็นรอยโรคระยะก่อนเป็นมะเร็ง135 คน มะเร็งปากมดลูกระยะลุกลาม 41 คน และ ปกติ 109 คน ในจำนวนผู้ที่มีผลตรวจวินิจฉัยเป็นปกติ และเป็นเพียงปากมดลูกอักเสบนั้น พบว่า กลับมาตรวจ Pap smear เพื่อติดตามผลหลังการตรวจวินิจฉัยที่ระยะ 6 -12 เดือนเพียงร้อยละ 37.6 โดยทั้งหมดเมื่อติดตามมาตรวจ Pap smear ซ้ำ พบผลตรวจวินิจฉัยเป็นรอยโรคระยะก่อนมะเร็ง 15 คน และเป็นมะเร็งปากมดลูก 5 คน
เพื่อพัฒนาแนวทางและศึกษาผลการติดตามตรวจ Pap smear ซ้ำ ในสตรีที่เคยมีผลตรวจวินิจฉัยรอย โรคที่ปากมดลูก พบปากมดลูกอักเสบ (Cervicitis) และปกติ (No dysplasia seen) ของโรงพยาบาลสันป่าตอง
การวิจัยพัฒนาเชิงทดลอง แบบกลุ่มเดียววัดก่อน-หลังการทดลองโดยวัดผลก่อนและหลังการพัฒนางานด้วยอัตราการมาตรวจ Pap smear ซ้ำภายหลังการตรวจวินิจฉัยรอยโรคที่ปากมดลูก ดำเนินการตั้งแต่ปี2550-2561 กลุ่มประชากรศึกษา คือ สตรีอำเภอสันป่าตองที่มีผลผิดปกติจากการคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ที่ได้รับการส่งต่อตรวจวินิจฉัยและรักษา จำนวน 371 คน โดยคัดกลุ่มตัวอย่างเข้าศึกษา คือ สตรีที่มีผลตรวจวินิจฉัยเป็นปากมดลูกอักเสบ จำนวน 28 คน และเป็นปกติ (No dysplasia seen) จำนวน 83 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาได้แก่ แบบบันทึกการตรวจ Pap smear ใบรายงานผลตรวจชิ้นเนื้อ ใบส่งตัวตอบกลับการรักษา และโปรแกรม Microsoft excel วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และร้อยละ
พบว่า แนวทางการติดตามตรวจ Pap smear ซ้ำประกอบด้วย 1) การจัดระบบบริการแบบ One Stop Service เพื่อให้ง่ายต่อการเข้ารับบริการ 2) มีรูปแบบการให้การปรึกษาแบบก้างปลา เพื่อให้ครอบคลุมวัตถุประสงค์ 3 ประเด็นได้แก่ เพื่อให้ทราบ เพื่อให้คลายความวิตกกังวล และ เพื่อให้ตระหนักต่อการกลับมาตรวจPap smear ซ้ำ 3) จัดเก็บข้อมูลในรูปแบบ Microsoft Excel เพื่อให้ง่ายต่อการตรวจเช็ค 4) การขออนุญาตติดตามผ่านทางโทรศัพท์เพื่อกระตุ้นเตือน และ5) ประเมินผลทุก 1 เดือน พบว่าในช่วงปี 2550-2561 จากจำนวนผู้มีผลตรวจคัดกรองผิดปกติ 371 คน โดยพบผลตรวจวินิจฉัยเป็นรอยโรคระยะก่อนมะเร็ง 228 คน มะเร็งระยะลุกลาม 32 คน ปากมดลูกอักเสบ 28 คนและปกติ 83 คน พบว่า ในจำนวนผู้มีผลวินิจฉัยไม่พบความผิดปกติ 111 คนกลับมาตรวจ Pap smear ซ้ำที่ 6 และ12 เดือนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 37.6 ในปี 2546-2549 มาเป็นร้อยละ 92.8ในปี 2550-2561 โดยพบว่าในกลุ่มที่มาตามนัด 103 คนพบผลผิดปกติ 27 คน โดยพบผลตรวจวินิจฉัยซ้ำ เป็นรอยโรคระยะก่อนมะเร็ง 24 คน และมะเร็งระยะลุกลาม 3 คน
กระทรวงสาธารณสุข สามารถนำผลการวิจัยครั้งนี้ไปเป็นหนึ่งในข้อมูลเชิงประจักษ์ ของการกำหนดตัวชี้วัดให้มีการติดตามตรวจ Pap smear ทุก 6 เดือนอย่างน้อย 2 ปี ในผู้ที่มีผลตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกผิดปกติทุกราย
ความสนใจต่อคำบอกเล่าของผู้มารับบริการ และความต้องการพิสูจน์ข้อเท็จจริงตามคำบอกเล่า นำไปสู่การสืบค้นข้อมูลย้อนหลังจากการดำเนินงานที่ผ่านๆมา ช่วยให้การแก้ปัญหาในครั้งนี้ได้ตรงจุด ส่งผลให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ผู้บังคับบัญชาได้เปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานมีอิสระทางด้านความคิดในการวิเคราะห์ปัญหา และเป็นอิสระในด้านการกำหนดแนวปฏิบัติ เพื่อปรับปรุงแก้ไขปัญหาและพัฒนางานอย่างต่อเนื่อง โดยให้กำลังใจ และสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ตามที่เสนอขอทุกครั้ง
การสนับสนุนเชิงนโยบาย พอใจสนับสนุนงบประมาณ พอใจให้คำปรึกษา พอใจจัดอบรมให้ความรู้ในหน่วยงาน พอใจส่งไปอบรมเพิ่มความรู้นอกหน่วยงาน พอใจ
การตรวจ Pap smear การตรวจวินิจฉัยรอยโรคที่ปากมดลูก ปากมดลูกอักเสบ
ไม่เป็น
ไม่เคย
ไม่เคย
ไม่เคย