ระบบการส่งข้อมูลแต่ละสิทธิการรักษามีข้อปฏิบัติที่แตกต่างกันทำให้ผู้ปฏิบัติเกิดความยุ่งยาก ในปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขโดยการนำของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พยายามจัดระบบของทั้งสามสิทธิให้เป็นแนวทางเดียวกันการส่งข้อมูลผู้ป่วยในให้ทันเวลานั้น สิ่งสำคัญจึงขึ้นกับการจัดเก็บเวชระเบียนผู้ป่วยในให้ครบถ้วนไม่ให้สูญหาย ดังนั้นโรงพยาบาลเวียงป่าเป้าจึงเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการสรุปเวชระเบียนผู้ป่วยในให้ตรงตามเวลา โดยโรงพยาบาลกำหนดให้แพทย์สรุปเวชระเบียนผู้ป่วยในให้เสร็จภายใน 7 วันหลังวันที่จำหน่ายเพื่อส่งข้อมูลให้ ทันการณ์ ถูกต้องและได้รับจัดสรรเงินครบถ้วน คณะผู้วิจัยจึงตั้งใจพัฒนาระบบงานเคลมเวชระเบียนผู้ป่วยงานใน เพื่อส่งผลให้เกิดความทันเวลาของเวชระเบียน เพื่อได้รับการจัดสรรงบประมาณที่เพิ่มขึ้น
1.เปรียบเทียบระยะเวลาในการส่งเวชระเบียนผู้ป่วยในก่อนและหลังการพัฒนา 2.เปรียบเทียบรายได้ต่อการส่งเวชระเบียนทันเวลาก่อนและหลังการพัฒนา
การวิจัยเชิงพัฒนาเชิงทดลองแบบกลุ่มเดียว เป็นการทดลองเปรียบเทียบคือการทันเวลาในในการส่ง เวชระเบียนผู้ป่วยในในปี 2553 2554 โดยใช้เวชระเบียนผู้ป่วยในที่จำหน่ายออกจากโรงพยาบาลเวียงป่าเป้า 15417 (ฉบับ) ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2552-30 กันยายน 2554
มีเวชระเบียนที่ส่งทันเวลาทั้งหมด 14307 ฉบับ1 ปี 2552 มีเวชระเบียนส่งทันเวลาทั้งสิ้น 4283 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 80.40 ปี 2553 มีเวชระเบียนส่งทันเวลาทั้งสิ้น 4909 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 99.49 ปี 2554 มีเวชระเบียนส่งทันเวลาทั้งสิ้น 5115 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 99.51 คิดค่าทางสถิติได้ P-Vlue ที่ < กว่า 0.001 ส่งผลให้ได้รับการจัดสรรงบประมาณ(กองทุน UC IPD) เพิ่มขึ้นสูงขึ้นจาก ในปี ปีงบประมาณ 2552 เป็นเงิน 9444566.16 ล้านบาท ในปีปีงบประมาณ 2553 เป็นเงิน 14642968.87 ล้านบาท และปีงบประมาณ 2554 เป็นเงิน 21302081.85 ล้านบาท
ระยะเวลาสั้นลง และรายได้จากการส่งเวชระเบียนเพิ่มขึ้น
ความตระหนักถึงความสำคัญในการส่งข้อมูลเวชระเบียนให้ทันเวลา
ความมุ่งมั่นของผู้ปฏิบัติงาน ความร่วมมือของหน่วยงาน
สนับสนุนด้านนโยบายและเป็นที่ปรึกษาแก่คณะทำงาน
ไม่มีข้อมูล
ไม่เป็น
ไม่เคย
ไม่เคย
ไม่เคย